วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ทวารบาล

ทวารบาล
ทวารบาลหรือรูปทวารบาล  รูปแบบลักษณะศิลปกรรมแบบไทยประเพณี  มีที่มาจากคติความเชื่อของคนไทย  อันเป็นประเพณีนิยมอย่างหนึ่งในการระวังรักษาช่องประตูเพื่อป้องกันมิให้สิ่งเลวร้ายล่วงล้ำเลยเข้าไปภายใน

        ทวารบาลแปลว่า  ผู้รักษาประตู  เทียบได้กับธรรมเนียมการจัดคนมาคอยอยู่และทำหน้าที่ระวังรักษาเหตุการณ์อยู่ตรงประตูทางเข้าแต่สมัยโบราณ  เรียกกันว่า "นายทวาร" หรือ"นายประตู"
        แต่ลำพังนายทวารหรือนายประตู  ไม่สามารถคุ้มกันภูติผีปีศาจ  คุณไสย อาถรรพ์ต่าง ๆ อันเป็นพลังลึกลับที่มองไม่เห็นได้  จึงต้องหาวิธีแก้ไขโดยทำรูปลักษณะที่ควรสะพึงกลัวเช่นรูปอสูร รูปกุมภัณฑ์ รูปรากษส รูปมเหศักดิ์  หรือรูปอันมีลักษณะที่ทรงไว้ซึ่งศักดานุภาพเช่นรูปเทพดาทำเป็นรูปปั้น  รูปและสลักและรูปเขียน  ตั้งเคียงช่องประตู บานประตู บานหน้าต่าง  เรียกว่ารูปพยนต์  เป็นทวารบาลอย่างไทยแต่ดั้งเดิมมา



เซี่ยวกาง
          ตามบานประตูทางเข้าหรือที่ซุ้มประตูวัด โบสถ์ วิหาร ศาลเจ้า บานพระทวารพระที่นั่งหรือบานประตูตู้พระธรรมก็ดีมักจะมีภาพเขียนรดน้ำปิดทองหรืองานไม้แกะสลักปิดทองติดอยู่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นภาพธรรมชาติในป่า และมีสัตว์นานาชนิดกำลังอยู่ในอากัปกิริยาต่าง ๆ ความมุ่งหมายเพื่อเป็นการตกแต่งให้สวยงาม แต่บางแห่งก็ทำเป็นภาพหรือไม้แกะสลักเป็นยักษ์ สัตว์เช่นสิงห์ อมนุษย์ หรือเทวดา เป็นต้น ความมุ่งหมายเพื่อให้เป็นผู้รักษาประตู เรียกว่า ทวารบาล
          สำหรับทวารบาลที่ทำเป็นภาพ หรือไม้แกะสลักเป็นเทวดาแต่มีรูปร่างหน้าตาแปลกมีหนวดเครารุ่มร่ามลักษณะท่าทีกระเดียดไปทางจีน มีชื่อเรียกว่า เซี่ยวกาง (บางทีเขียนว่า เสี้ยวกาง) หรือเพี้ยนไปเป็นเขี้ยวกาง จรีกาง ก็มี
                   "เซี่ยวกาง น. รูปทวารบาลคือผู้รักษาประตู มักทำไว้สองข้างประตู เข้าใจว่ามาจากภาษาจีนแต้จิ๋ว อ่านว่า เซ่ากัง แปลว่า ยืนยาม, ตู้ยาม, ซุ้มยาม ทวารบาลของจีนจึงเป็นเจ้าแห่งผีทั้งหลาย เชื่อกันว่าจะป้องกันภูติผีปีาจ ไม่ให้ล่วงล้ำเข้าไปได้ ต่อมาจึงนิยมวาดรูปอวยซีจงและซินซกโป๊ เป็นทวารบาลวัดหรือศาลเจ้า เล่ากันว่าเมื่อพระเจ้าไท่จง (หลีซีบิ๋น) แห่งราชวงศ์ถังทรงพระประชวร ในขณะที่ทรงพระประชวรได้ทอดพระเนตรเห็นแต่ปีศาจเป็นเนืองนิจ และให้ให้นายทหารเอกชั้นผู้ใหญ่ ๒ นาย คือ อวยซีจง และ ซินซกโป๊ มายืนเฝ้าที่หน้าห้องบรรทม จึงเป็นประเพณีนิยมในการวาดรูปอวยซีจงและซินซกโป๊ไว้สองข้างประตูวัดและศาลเจ้า"
          ส่วนพระยาโกษากรวิจารย์ (บุญศรี ประภาศิริ) สันนิษฐานว่า เซี่ยวกาง น่าจะมาจากคำว่า "จิ้นกางเสี่ยว" แล้วเรียกเพี้ยนเป็น "เซี่ยวกาง"
          ลักษณะของเซี่ยวกางไม่เหมือนเทวดาไทย คือมีหนวดเครายาว ถืออาวุธด้ามยาว การแต่งกายผิดไปจากโขนละครของไทย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงมีพระอธิบายไว้ในหนังสือสาส์นสมเด็จ ภาค ๔ ว่า
          "อันเครื่องแต่งตัวเซี่ยวกางนั้นทำให้น่าสงสัยมาก หากจะดูแต่จำเพาะให้น่าสงสัยมาก หากจะดูแต่จำเพาะสิ่งที่เป็นของไทยทั้งนั้น แต่ไม่มีรูปภาพไทยอย่างอื่นแต่งตัวเหมือนอย่างนั้นเลย ท่วงทีไปทางข้างแขกหรือจีน จึงได้ลองคลำถามพระจีนเจนอักษรดูได้ความว่า ทางจีนจะมีรูปทำไว้ตามบานประตูเหมือนกันเรียกว่า "มิ่งซิ้น" แปลว่า เทวดารักษาบานประตู ไปทางพวกทวารปาละ เสียงไม่เข้าใกล้ เขี้ยวกาง เซี่ยวกาง จรีกาง อย่างใดเลย"
          รูปเซี่ยวกางส่วนมากจะยืนอยู่บนหลังสิงโต ตามคติของจีน สิงโตมีหน้าที่เฝ้าตามประตูศาสนสถาน เช่น วัด โบสถ์ ศาลเจ้า เซี่ยวกางก็มีหน้าที่อย่างเดียวกัน อิริยาบถของเซี่ยวกางโดยทั่ว ๆ ไปจะเป็นรูปยืน มือข้างหนึ่งจับที่ปลายเครา และมืออีกข้างหนึ่งถืออาวุธ เช่น รูปเซี่ยวกางที่ผนังซุ้มประตูพระอุโบสถวัดราชบพิธ ส่วนเซี่ยวกางที่ทำแปลกออกไปคือเซี่ยวกางที่บานประตูใหญ่วัดบวรนิเวศวิหาร ตนหนึ่งมือซ้ายถือสามง่าม มือขวาถือกริช เหยียบบนหลังจระเข้ อีกตนหนึ่งมือขวาถือโล่ มือซ้ายถือดาบ เหยียบบนหลังมังกร

 ทวารบาลในประเทศอาเซียน
ทวารบาลในประเทศมาเลเซีย
ทวารบาลในมาเลเซียโดยมากจะสลักเป็นรูปกาฬหรือกีรดิมุขหรือรูปพระอรุณแต่บาง แห่งสลักเป็นรูปสิงห์ซึ่งเป็นผู้ฆ่าหิรัณยกศิปุเป็นเรื่องราวที่ทำให้ธรณี ประตูกลายเป็นสื่งศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นเพราะเคยเป็นที่สถิตของนรสิงห์

ทวารบาลในประเทศลาว
ทวารบาลในประเทศลาวจะมีลักษณะมือขวากุมไม้เท้ามือซ้ายแนบหน้าอก ชาวลาวเชื่อกันว่าทวารบาลนี้คือหินพระยากามะทาเป็นผู้ควบคุมในการก่อสร้าง ส่วนข้อมูลของนักวิชาการทางด้านโบราณคดีระบุว่าเป็นรูปสลักของเทพทวารบาลนนทิเกศวร


ทวารบาลในประเทศกัมพูชา
ทวารบาล ในประเทศกัมพูชา มีความเชื่อว่านางอัปสราคือนางฟ้าหรือเทพธิดาผู้รับใช้และคอยดูแลศาสนสถาน พวกเขาต่างยกย่องนางอัปสราเป็นเทพธิดาแห่งความดีงาม เรื่องนี้ถือว่ามีเค้าต่อการสร้างรูปสลักนางอัปสราจำนวนมากในวัด ทำให้เหล่าธิดาผู้ดูแลย่อมมีจำนวนมาก

ทวารบาลในประเทศพม่า
ทวารบาลพม่าแต่ละทิศบริเวณทางเข้าจะมีรูปสัตว์ในตำนานปรัมปรา2รูปเป็นครึ่ง สิงห์ครึ่งนกทำหน้าที่เป็นทวารบาลเรียกว่าชินเต้ หรือ สีหปักษีทวารบาลและยักษ์ทวารบาลเป็นความเชื่อของชาวพม่าว่าชินเต้คือผู้ปก ป้องรักษาและเชื่อว่าสิงห์จะคอยเฝ้ารักษาไม่ให้ใครมาทำร้ายทำอันตราย



ทวารบาลในประเทศเวียดนามและประเทศอินโดนีเชีย
ทวารบาลสตรีมีลักษณะเป็นรูปสตรีอยู่ภายในซุ้ม ลักษณะของทวารบาลสตรีมีพระพักตร์ค่อนข้างกลม ทรงกระบังหหน้ามีรัดเกล้าเป็นทรงกรวยแหลมประดับแผ่นรูปสามเหลี่ยมซ้อนกัน เป็นชั้นๆ พระหัตถ์ขวาถือดอกบัว

  
ทวารบาลในประเทศสิงคโปร์
ทวารบาลสิงคโปร์เป็นทวารบาลสตรี สลักจากหินทราย มีลักษระเป็นสตรียืนอยู่ในซุ้ม พระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัว ไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าขาว แบบมีริ้วทั้งผืน


ทวารบาลในประเทศฟิลิปปินส์
ทวารบาลฟิลิปปินส์เป็น ทวารบาลแบบลังกา ในยุคแรกจะเป็นรูปหม้อน้ำ หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ เรียกว่า ปูรณฆฎะ รับอิทธิพลมาจากอินเดีย ต่อมาเปลี่ยนเป็นรูปคนแคระ 2 คน คนหนึ่งใส่หมวกดอกบัว อีกคนใส่หมวกรูปสังข์ ต่อมาเปลี่ยนเป็นทวารบาลมนุษย์นาค
ทวารบาลในประเทศไทย
ทวารบาลไทยคน ไทยในสมัยก่อนมีความเชื่อเรื่องผี แต่มีการพัฒนาจากยุดเชื่อเรื่องผีก้กลายเป็นยุคนับถือเทพหรือเทวดา ทวารบาลในประเทศไทยนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งอยู่ในรูปของอสูร เทพ เทวดา นางฟ้า แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นอสูรคือยักษ์โดยมือทั้งสองข้างจับกระบองอยู่ตรงกลาง

ในปัจจุบันทวารบาลมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา มารเปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นรูปแบบต่างๆ

 นายทวารบาลเป็นรูปสลักทหารฝรั่งถือปืน 
ที่ประตูด้านหน้าวัดด้านทิศตะวันออก ฝั่งถนนเฟื่องนคร
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นวัดหนึ่งที่มีทวารบาลที่แปลกและโดดเด่น
เช่น บานประตูของวัดจะเป็นรูปทหารต่างๆ แต่งกายไม่เหมือนกันสลักติดไว้
เข้าใจว่าเป็นทหารมหาดเล็ก ซึ่งจัดตั้งมาตั้งแต่ต้นสมัยรัชกาลที่ ๕
ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งตัวหลายครั้ง จึงนำมาสลักไว้ในหลายรูปแบบ 

ทวารบาลในวัดจังหวัดเชียงใหม่
ภาพทหารที่วาดเฝ้าประตูนั้น ตั้งใจให้เป็นทวารบาลเฝ้าประตูทั้งสี่
โดยอาวุธที่ถือของทหารเฝ้าประตูทั้ง 8 คนเป็นจินตนาการของช่างวาดภาพจากทหารที่ยืนประกบช้างออกรบ โดยให้แนวคิดไปว่าให้มีถืออาวุธประจำกายไม่ซ้ำกัน
โดยในสมัยโบราณจะเห็นว่าเป็น หอก ดาบ มีด ตามอาวุธโบราณ แต่มีการวาดภาพทั้งปืนไรเฟิล , เอ็ม16 , เอ็ม 79 , ปืนสั้น , ลูกระเบิด เพื่อให้หลากหลาย เป็นอาวุธในยุคปัจจุบัน














ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น